การเลือกตั้งกลางเทอมหรือ midterm election ซึ่งหมายถึงการเลือกตั้งครึ่งวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีในปีนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ทั้งชุด 435 คน และหนึ่งในสามของวุฒิสมาชิกของสภา ซึ่งปีนี้มี 33 คนบวกกับการเลือกตั้งซ่อมอีกสองที่นั่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเลือกตั้งผู้ว่าการใน 36 รัฐ รวมถึงสภานิติบัญญัติของรัฐต่างๆ และการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นอีกจำนวนมากด้วย
ขณะนี้เดโมแครตซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ต้องการที่นั่งเพิ่มขึ้นสุทธิ 23 ที่เพื่อคุมเสียงข้างมากในสภาล่าง ซึ่งก็ดูจะมีโอกาสความหวังสำหรับเรื่องนี้มากกว่าในวุฒิสภา
เพราะในวุฒิสภานั้น ถึงแม้พรรครีพับลิกันจะมีที่นั่งอยู่ 51 ที่ เทียบกับ 49 ที่ของเดโมแครตก็ตาม แต่วุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตต้องลงรับเลือกตั้งใหม่ใน 26 รัฐ โดย 10 รัฐในจำนวนนี้เป็นรัฐซึ่งเคยเทคะแนนให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ในการเลือกตั้งเมื่อสองปีที่แล้ว
การเลือกตั้งกลางเทอมปีนี้มีขึ้นท่ามกลางความแตกต่างขัดแย้งทางการเมืองของคนอเมริกัน และมีผู้สนใจไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้ามากเป็นประวัติการณ์ด้วย
พรรคเดโมแครตให้ความสนใจกับเรื่องการดูแลสุขภาพและความแตกต่างทางเศรษฐกิจ ขณะที่พรรครีพับลิกันนั้นมุ่งเน้นเรื่องผู้อพยพเข้าเมืองและความมั่นคงตามแนวชายแดน
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้หยิบประเด็นเรื่องผู้อพยพเข้าเมืองขึ้นมาโจมตีพรรคเดโมแครตว่า เชื้อเชิญผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และถึงกับเรียกขบวนรถคาราวานของชาวอเมริกากลางที่อยู่ในเม็กซิโกและกำลังมุ่งหน้าไปยังพรมแดนของสหรัฐว่าเป็น “การรุกราน”
และในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นเหมือนการแสดงประชามติต่อผลงานของผู้นำสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
นาย John Hudak นักวิเคราะห์ของสถาบัน Brookings กล่าวว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้การเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้เป็นการแสดงประชามติเกี่ยวกับตนเอง เพราะมีความเชื่อมั่นในคะแนนนิยมของตัวเองเป็นอย่างมากว่าจะสามารถช่วยนำพาผู้สมัครของพรรครีพับลิกันไปสู่ชัยชนะได้
ถึงกระนั้นก็ตาม ประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันช่วงหลังดูจะไม่เข้าข้างประธานาธิบดีและพรรคที่ครองอำนาจอยู่เท่าไหร่นัก เพราะพรรคของประธานาธิบดีมักจะเสียที่นั่งในสภาจากการเลือกตั้งกลางเทอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีต่ำกว่า 50%
โดยขณะนี้คะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ระดับ 43%
และหากพรรคเดโมแครตประสบความสำเร็จได้ครองเสียงข้างมากอย่างน้อยในสภาล่างหรือรวมทั้งในสภาสูงของสหรัฐฯ แล้ว คุณ Jim Kessler นักวิเคราะห์การเมืองคนหนึ่งก็เชื่อว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องอยู่ใต้สถานการณ์ทางการเมืองรูปแบบใหม่ ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของดุลอำนาจที่กรุงวอชิงตัน
โดยพรรคเดโมแครตจะสามารถเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลมากขึ้น และนโยบายต่างๆ ของทำเนียบขาวจะต้องได้รับการสนับสนุนยินยอมจากสองพรรคในรัฐสภามากขึ้น แทนที่จะเป็นในลักษณะของตรายางประทับรับรอง เหมือนขณะที่พรรครีพับริกันคุมเสียงข้างมากอยู่ในทั้งสองสภาในช่วงสองปีที่ผ่านมา
ที่มา: voathai.com